เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓๑ ก.ค. ๒๕๕๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ เราตั้งใจฟังธรรมกัน เราตั้งใจฟังธรรมกันเพราะเราเป็นคนที่มีสติสัมปชัญญะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน สั่งเสียเอาไว้นะ “ภิกษุทั้งหลาย เธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด” เราอย่าประมาทกับชีวิตของเราไง ถ้าเราประมาทกับชีวิตของเรา ความประมาทจะทำให้ความพลั้งเผลอทำให้ชีวิตของเรามันมีอุบัติเหตุ มันมีสิ่งต่างๆ มาตลอดเราต้องมีสติปัญญากับชีวิตของเรา

ถ้าเรามีสติปัญญากับชีวิตของเรา ชีวิตของเราๆถ้าชีวิตของเราชีวิตนี้ได้แต่ใดมาเวลาคนเกิด อะไรพาเกิด กรรมดีพาเกิดนะ ถ้ากรรมดีนี้พาเกิด จิตนี้มันไม่มีเว้นวรรค มันต้องไปตามธรรมชาติของมันมันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แต่เวลาบุญพาเกิดๆไง เรามาทำบุญกุศลกันก็เพื่อหัวใจดวงนี้ไง

ถ้าหัวใจดวงนี้ เวลาทำบุญกุศลๆ ทำบุญกุศลแล้วเขาได้ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหมไงแล้วเป็นเทวดาเป็นอินทร์ เป็นพรหมมีจริงอยู่หรือเทวดา อินทร์พรหมมันมีจริงอยู่หรือ พระไม่ใช่มาโกหกกันใช่ไหมพระถ้ามาโกหกกันทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำบุญกุศลเป็นเทวดา เป็นอินทร์เป็นพรหม แล้วเขาจะหลอกกันอยู่อย่างนี้ใช่ไหม 

มันจะหลอกที่ไหนล่ะ ถ้ามันหลอกนะ เทวดาอินทร์ พรหมเขาเป็นอย่างไร ถ้าเทวดา อินทร์พรหม ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ธัมมจักฯเทวดา อินทร์พรหมเขาส่งข่าวเป็นชั้นๆ ขึ้นไปเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเทศนาว่าการ พุทธกิจ ๕เวลาเช้าขึ้นมาออกบิณฑบาตโปรดญาติโยม หัวค่ำมาโปรดพระ พอตกดึกหน่อยโปรดเทวดา อินทร์พรหม

นี่เขาโปรดมันมาจากไหน มันมาจากไหนล่ะเทวดา อินทร์พรหมมาฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันไม่มีอยู่หรือ มันมีอยู่ของมัน แต่มันมีอยู่ของผู้ที่มีหูมีตาไง มันมีอยู่ของผู้ที่หูตาสว่างไสวไง เขาเห็นของเขาไง มันไม่ใช่คนมืดบอดแบบพวกเราไง ถ้าคนมืดบอดแบบพวกเรา เราทำบุญกุศลกันมาด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันครอบงำในหัวใจของเราไง

ทำบุญไม่เคยได้บุญเลย ทำดีไม่เคยได้ดีเลยทำอะไรก็ไม่เคยได้สมความปรารถนาสักอย่างหนึ่ง ถ้าไม่สมความปรารถนาเพราะไม่สมความปรารถนา เราถึงต้องขวนขวายของเราไง ถ้าเราไม่สมความปรารถนาเราปล่อยไหลไปตามกิเลสตัณหาความทะยานอยากแล้วมันจะไปไหนล่ะ มันก็ไปเอาแต่ฟืนแต่ไฟมาเผาตนเองไง 

ถ้าเอาฟืนเอาไฟมาเผาตนเอง บุญกุศลๆทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว การกระทำอันนี้มันให้ผลมา ให้ผลมาตรงไหน ให้ผลมาเกิดนั่งกันอยู่นี่ไง การนั่งอยู่นี่อะไรมันพาเกิด จิตมันต้องเกิดของมันโดยธรรมชาติของมัน แต่มันมีบุญกับบาป

เวลาบาปอกุศลมันพาเกิดนะมันพาเกิดพาทุกข์พายากไง แต่เวลาบุญพาเกิด มันเกิดมาแล้วประสบความสำเร็จในชีวิต ถ้าประสบความสำเร็จในชีวิต นี่บุญบาปไงบุญบาปมันมาจากไหนล่ะ มันก็มาจากการกระทำของเรา ถ้าการกระทำของเรา การกระทำของเรา ใครเป็นคนบอกล่ะ ก็องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคนบอก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคนเทศนาว่าการไว้ วางธรรมวินัยนี้ไว้ไง 

ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคนบอก เวลาบอกแล้วถ้าเราเชื่อของเราเราเชื่อของเรา เราจะประพฤติปฏิบัติของเรา ถ้าเราจะประพฤติปฏิบัติของเรา เราต้องมีสติปัญญานะ คนไม่มีสติปัญญา ไม่ขวนขวายแล้วกระทำไม่เป็นไง

เวลาทำเป็นขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการไว้ มนุสสติรัจฉาโนมนุสสเปโต มนุสสเทโว มนุษย์เปรตมนุษย์ผี มนุษย์เทวดา นี่ก็มนุษย์เวลาเป็นขึ้นไปเพราะว่าธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันซับซ้อนกันขึ้นมาไง เวลาซับซ้อนขึ้นมา พูดถึงผลของวัฏฏะ พูดถึงผลของโลกโลก เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มันมีภพมีชาติของมันเราก็บอกมีชาติเดียวเท่านั้นน่ะเกิดมาก็เป็นเราตายแล้วก็จบ 

ตายแล้วก็จบนะ ถ้าตายแล้วมันจบ ถ้ามันจบไปถ้ามันจบไปมันก็จบสิ ถ้ามันไม่จบไม่จบตรงไหนล่ะไม่จบที่ว่าเวลามันตายไปแล้วอะไรเคลื่อนออกจากร่างนี้ไปล่ะ ดูสิ คนที่มีชีวิตอยู่ร่างกายก็เคลื่อนไหวได้เวลาจิตออกจากร่างไปแล้วมันก็เหมือนท่อนฟืน พอท่อนฟืนแล้วไอ้ที่ออกไป ใครเป็นคนไปล่ะ ไปแล้วมันได้ผลอะไรมาล่ะ

แล้วเวลาจะมาเกิด มาเกิด ถ้ามีบุญกุศลมาเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์เกิดมาแล้ว ความรู้สึก ความนึกคิดแตกต่างกันก็เพราะอำนาจวาสนาการกระทำมา ถ้าชีวิตของเขาเขารื่นรมย์ของเขามา เวลาเขาเกิดมาก็มีความชื่นชมของเขาไป ทุกข์ยากมา เกิดมามีแต่ความทุกข์ความยากตลอดมา จิตมันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไง ถ้าจิตมันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เรามีสติมีปัญญาเข้ามา เรามาทำบุญกุศลของเรา ทำบุญกุศลที่ไหน

ทำบุญกุศลเวลาส่วนนี้มันแย่งออกมาจากกิเลสในใจของตนไงกิเลสในใจของตนความตระหนี่ถี่เหนียว ความว่าเป็นของเราๆ มันก็จริงๆ ของเราจริงๆนั่นแหละ แต่ของเรา คนที่มีสติปัญญา ของของเรา ก็ของของเราเราถึงเสียสละไงเพราะของของเราของของเรา เจตนาของเราเสียสละเพื่อความมั่นคงของชีวิตของเราไงเพื่อความดีงามของสังคมไง

ดูสิ น้ำ เขาต้องการน้ำดี น้ำเสียเขาไม่ต้องการทั้งนั้นน่ะ น้ำดีมีออกซิเจน น้ำดีปลามันอยู่ด้วยความสุขของมันนะน้ำเสียมันเกิดจากไหน น้ำเสียมันเกิดจากคนใช้สอยมันแล้วปล่อยน้ำเสียลงไปในน้ำเสียนั้นไง น้ำเสียมันเกิดจากการหมักของมันไง การที่ไม่ไหลเวียนของมันไงการไม่ไหลเวียนของมันก็มันเสียหายไง

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตใจของเราไม่มีการกระทำของเราเลยไง ของเราๆๆ แล้วไม่มีการเสียสละเลยมันไม่เป็นประโยชน์อะไรกับใครเลยไง แต่ถ้าเราเสียสละทานๆแย่งชิงจากกิเลสมันมา ของของเรานี่แหละ แต่เราแย่งชิงจากความตระหนี่ถี่เหนียวกิเลสในหัวใจเราออกมา เรามาเสียสละของเรา เสียสละของเราให้จิตใจมันเปิดกว้างจิตใจมันเปิดกว้างมันเห็นไง มันสบายใจ มันโล่งอกไง โล่งอก

ของเราๆมันเก็บไว้แล้วไม่เป็นประโยชน์กับใครทั้งสิ้น พอเราเสียสละไปแล้ว คนนั้นก็ใช้สอยเป็นประโยชน์กับเราๆนี่จิตใจมันเริ่มเปิดกว้างไง เปิดกว้างแล้วทาน แล้วทำอย่างไรต่อ เวลาทานแล้วทำอย่างไรต่อ

ทานก็เป็นบุญกุศลนะ ถ้าบุญกุศลนะ ดูสิ เทวดาอินทร์ พรหมเขาเกิด เป็นคนพาลเวลาคนพาลเขาได้ทำบุญกุศล เขามีโอกาสได้ทำคุณงามความดีกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาไปเกิดเป็นเทวดาก็เป็นเทวดาฝ่ายมารเทวดาก็มีมารนะเทวดาก็มีเทพนะฝ่ายมารขึ้นไปก็คนเก๊ไง จริตนิสัยเป็นคนพาล พอคนพาลไปเกิดเป็นเทวดาก็เป็นเทวดาพาล เทวดาพาลก็ทำให้สวรรค์มีแต่ความกระทบกระเทือน เห็นไหมสังคมมันเป็นอย่างนี้

จิตใจของเราๆ ถ้าจิตใจของเรามีสติปัญญาของเรา เราจะค้นคว้า เราจะฝึกปฏิบัติของเราแล้วถ้าปฏิบัติของเราถ้ามันมีสติมีปัญญาขึ้นมา มันมีคุณธรรมในหัวใจถ้ามีคุณธรรมในหัวใจ นี่จะเป็นมนุสสเทโว เป็นมนุษย์เทวดาไง

ดูสิ อารมณ์ความรู้สึก ความโกรธ การกระทำของเรามันจะเป็นเดรัจฉาโน มันจะเป็นเดรัจฉานเดรัจฉานด้วยพฤติกรรมเดรัจฉานที่การกระทำ นี่เดรัจฉาน ถ้ามีสติปัญญา เรารู้ทันแล้ว

แต่ถ้าเราไม่มีสติปัญญา เราไม่ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยทิฏฐิมานะของเรา เราถูกต้องดีงามไปหมด เราเป็นคนมีอำนาจวาสนาจะเหยียบย่ำเขาไปทั่ว แต่ถ้ามันมีสติปัญญานะเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ของเราที่หูตาท่านสว่างแล้วท่านมองนะ 

หลวงตาท่านพูดประจำเวลาพูดกับพวกเราเหมือนกับพูดกับสัตว์ เหมือนพูดกับสัตว์เพราะมันพูดไม่รู้เรื่องไง มันพูดมันก็พูดได้แต่สัญชาตญาณของเราไง เราจะไม่ละเอียดลึกซึ้งไปขนาดนั้น เราดูสัตว์สิ เวลาสัตว์แต่ละชนิดนะ มันมีความรู้สึกไหม มี เราคุยกับมันรู้เรื่องไหมไม่ แต่ถ้าสัตว์ที่เราเลี้ยงไว้ สัตว์ที่เราสื่อสารได้ มันเหมือนจะพูดรู้เรื่องแต่มันพูดกันไม่รู้เรื่อง เพราะมันไม่ใช่พูดภาษาเดียวกัน แต่รู้เรื่อง

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าหัวใจของเรา จิตใจเรามีบุญกุศลของเรา เราจะค้นหาของเราแล้วดูสิ สิ่งที่ว่าเราเข้าใจได้ว่า ถ้ามันมีฟืนมีไฟในหัวใจของเรา เราจะเป็นสัตว์แล้วนะ เราจะเป็นสัตว์แล้ว แต่ถ้าเรามีสติปัญญาด้วยธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากล่อมหัวใจของเราไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก ท่านประพฤติปฏิบัติของท่านมาแล้วเวลาสิ่งใดที่เกิดขึ้นในหัวใจ ถ้ามีสติปัญญา มันปล่อยวางได้ มันละได้ ถ้าละได้ มันจริงหรือไม่ นั่นเป็นประสบการณ์ของท่าน

แต่ในใจของเราเวลามันทุกข์มันร้อนขึ้นมามันคุในหัวใจ ทุกข์ร้อนไหม ทุกข์ร้อนแต่ถ้ามีสติปัญญาเท่าทันแล้วมันปล่อยวางได้ไหมได้ เออ! มันชักแปลก ชักแปลก นี่ไง ดูสิ เราเป็นมนุษย์ มนุษย์ที่พัฒนาขึ้นมา ดูสิบอกว่าผลของวัฏฏะมีหรือไม่เทวดา อินทร์พรหมมีหรือไม่

ถ้าเราประพฤติปฏิบัติเข้าไป มันเป็นสดๆร้อนๆ ไง ถ้ามันเป็นสดๆ ร้อนๆ ขึ้นมา

เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงบอกว่าเทวดาก็เรานี่แหละเทวดา อินทร์พรหมไม่มีหรอก มีชาติเดียว ชาติปัจจุบัน 

นี่ไง ศึกษาธรรมะแล้วมันก็ตีความไปผิดๆถูกๆ นั่นแหละ แต่ถ้าคนทำๆ นะ ผลของวัฏฏะมีนะ ผลของวัฏฏะมันก็เป็นสถานที่เท่านั้นน่ะแต่จิตใจของเรานี่แหละเวียนว่ายตายเกิดไปสถานะนั้น มันก็เหมือนทวีป ทวีปมันก็มีของมันอยู่อย่างนี้ดาว ดวงดาวพระจันทร์มีไหม มีของมันอยู่อย่างนั้นน่ะ แล้วใครไปสำรวจพระจันทร์ล่ะใครไปสำรวจดาวอังคารล่ะ ก็ยานอวกาศไง 

นี่ก็เหมือนกัน ใครจะสำรวจหัวใจของเรา ใครจะมาสำรวจหัวใจของเราล่ะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันจะสำรวจหัวใจของเรานี่ไงถ้ามันสำรวจหัวใจของเรา เราก็รู้เท่าทันมัน ถ้ารู้เท่าทันมันแล้ว เราถึงว่ามนุษย์แต่ละประเภทๆ เราไม่เป็นหมดเลย เราเป็นคน คนก็ศึกษาของมันไปตามธรรมชาติของมันนะ เป็นมนุษย์ขึ้นมา มนุษย์ก็มีสติปัญญาแล้ว จะศึกษา ถ้าศึกษาขึ้นมา เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไป ถ้าเราทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจสงบเข้ามา เราจะรู้ของเราได้

ทำอย่างไรก็ได้ให้ใจสงบเข้ามา ถ้าใจสงบเข้ามาแล้วมันจะเข้าไปค้นคว้าหาสิ่งที่เศร้าหมองอยู่ในหัวใจนั้น แต่ที่เราคิดกันอยู่นี้ คิดกันอยู่นี้มันนอกใจ มันนอกบ้านเรา มันเรื่องคนอื่น บ้านของเราไม่ดูแลบ้านคนอื่นไปจัดการให้เขาหมดเลย จัดเก็บให้เขาเรียบร้อยเลย แต่บ้านของตัวปล่อยให้รกรุงรังอยู่นั่น 

นี่ก็เหมือนกัน เรื่องส่งออกๆเรื่องข้างนอกศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันเป็นเรื่องของปัญญาสังคม ถ้าปัญหาสังคม เรื่องวัฒนธรรมประเพณีนี่เรื่องของสังคมแต่เรื่องของเราล่ะเรื่องของเราล่ะ

ถ้าเรื่องของเรา ถึงเวลาแล้วดูสิ เวลาบวชเป็นพระแล้วเป็นภิกษุได้บิณฑบาตมาแล้ว บิณฑบาตแล้ว ทำภัตกิจเรียบร้อยเสร็จแล้วเข้าสู่เรือนว่าง เข้าสู่โคนไม้ เข้าสู่ต่างๆ นี่งานของตนแล้ว มีหน้าที่ๆหน้าที่ค้นคว้าหาใจของตน ถ้าค้นคว้าหาใจของตน พิจารณาในนั้นๆ ที่ว่าภพชาติจะมีหรือไม่มี เดี๋ยวเข้ามารู้กัน 

ภพชาติมีหรือไม่มี เพราะธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติไว้แล้ว แต่มันไม่เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโกของเราไง มันไม่เป็นสมบัติของเราไงมันไม่เป็นความรับรู้ของเราไง ถ้ามันเป็นสมบัติของเราเป็นความรับรู้ของเรา เป็นปัจจัตตังเป็นสันทิฏฐิโกในหัวใจดวงนี้ไง

นี่ไง ที่เรามาทำบุญกุศลกันเพราะเหตุนี้ มาทำบุญกุศลกันเพื่อหัวใจ พัฒนาหัวใจเราขึ้นมาให้มันมีสติมีปัญญาไง แล้วมันจะไขว่คว้าหาทรัพย์ หาอริยทรัพย์ ทรัพย์ที่เป็นความจริงของเราไง ทรัพย์ที่เป็นความจริงของเราเห็นไหม

ทำบุญกุศลแล้วอุทิศส่วนกุศลแล้วอุทิศส่วนกุศลจะได้หรือไม่ได้ รับหรือไม่รับไง แต่นี่ไม่ต้อง หลวงตาท่านพูดประจำเวลาท่านจะนิพพานนะ ไม่ต้องทำอะไรให้เราทั้งสิ้น เราทำของเราเสร็จแล้ว เราทำของเราพร้อมแล้วเราเอาของเราไปเอง แต่นี่เราทำบุญกุศล มันจะมีจริงหรือไม่มี แล้วทำแล้วมันจะได้หรือไม่ได้ อันนี้มันเป็นวัฒนธรรมของชาวพุทธเราไง แต่เวลาจริงๆ แล้วหลับตาหายใจเข้านึกพุทหายใจออกนึกโธพุทธานุสติ เราระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า การคบมิตรดีนะ การคบเรามีมิตร มีพรรคพวกที่ดี จะชักนำให้เราเป็นคนดีเราคบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ พุทธะ ผู้รู้ผู้ตื่น ผู้เบิกบานพุทธะคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้าเราคบ จิตใจเราคบ เราระลึกถึงตลอดเวลา หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ทำของเราไปเรื่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ ถ้าเรามีอำนาจวาสนานะมันสงบลง มันสงบลง มันจะเข้าบ้านเรื่องของคนอื่นไม่เอาแล้ว 

เรื่องของคนอื่นๆ มันเป็นประเพณีวัฒนธรรมที่เราจะอยู่ร่วมกันเท่านั้นแหละ แต่ถ้าคนจะเอาตัวรอดได้เอาตัวรอดไม่ได้มันอยู่ตรงนี้ มันอยู่ตรงที่จิตมันสงบเข้ามาเป็นเอกเทศเป็นตัวของมันเองไง ถ้าเป็นตัวของมันเอง โอ๋ย! มันจะมหัศจรรย์ตัวมันเองแล้ว มันจะมีคุณค่าๆ ขึ้นมาทันทีเลย

ที่บอกว่านรก สวรรค์มีหรือไม่อะไรมีหรือไม่เดี๋ยวก็รู้ พุทโธเข้าไปเดี๋ยวก็รู้แล้วถ้ารู้แล้ว คนที่รู้แล้วส่วนใหญ่แล้วจะเงียบเลย รู้แล้วจะเก็บไว้ในใจถ้าพูดไปแล้ว ไม่มึงบ้าก็กูบ้าแล้วกันแหละ ต้องบ้าคนหนึ่ง ไม่มีใครเชื่อหรอก 

แต่ถ้าเราเป็นความจริงของเรา เราเป็นชาวพุทธใช่ไหม ชาวพุทธเรามีบริษัท ๔ใช่ไหม มีครูบาอาจารย์ของเราใช่ไหม ครูบาอาจารย์ของเราที่ดี เราปรึกษาท่าน ถ้าครูบาอาจารย์ ท่านรู้ท่านเห็นของท่านทั้งนั้นน่ะ ถ้าไม่รู้ไม่เห็น ไม่รื้อภพรื้อชาติ ท่านจะพ้นจากกิเลสไปไม่ได้

จิตที่จะพ้นจากกิเลสไปมันต้องรื้อภพรื้อชาติรื้อทั้งหมด รื้อทุกอย่างที่ในหัวใจนี้แล้วใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่งนะ ใจของสัตว์โลกมันก็เป็นใจด้วยกันทั้งนั้นน่ะ ใจเหมือนกันทั้งนั้นน่ะ แต่ใจของคนมันมีกิเลสหนากิเลสบางเท่านั้นน่ะ 

ถ้าใจของกิเลสหนามันก็ดื้อด้าน ไม่ฟังอะไรทั้งสิ้น ไม่มีเหตุมีผลใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าจิตใจของคนที่มันเบาบางลง มันจะฟังเหตุฟังผลของมัน แล้วใจของคนถ้ามีการประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันอยู่ที่อำนาจวาสนานะ อำนาจวาสนาขิปปาภิญญา ผู้ที่ปฏิบัติง่ายรู้ง่ายเขาทำของเขามาทั้งนั้นน่ะ ดูสิ เวลาพระโพธิสัตว์แต่ละภพแต่ละชาติท่านทำของท่านมาทั้งนั้น ท่านทำของท่านมาทั้งนั้นเพราะการทำมาใครไม่ทำมา ไม่ได้หรอก 

ทีนี้ใครไม่ทำมาไม่ได้ เหมือนกับในปัจจุบันนี้วัฒนธรรมของเราก็หลอกกัน เวลาหลอกกันนะ ทำบุญเยอะๆ จะได้เยอะๆ

ทำบุญหัวใจกว้างใหญ่แม้แต่ของเล็กน้อยแต่หัวใจที่กว้างใหญ่ หัวใจที่กว้างใหญ่มันจะได้ผลตอบแทนที่กว้างใหญ่ เจตนาไงเจตนาที่บริสุทธิ์ไงเจตนาที่บริสุทธิ์ของเรามันสำคัญที่หัวใจทั้งนั้นเลยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนลงที่ใจของสัตว์โลกนะ รื้อสัตว์ขนสัตว์ก็รื้อในหัวใจนั่นน่ะ 

ดูสิ พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะเป็นพระอรหันต์ ก็เดินบิณฑบาต ฉันอยู่นั่นน่ะ ก็เป็นมนุษย์นี่แหละ แต่หัวใจมันพ้นจากกิเลสหัวใจมันพ้นจากกิเลส เขารื้อค้นกันที่นี่ เขาทำกันที่นี่งานในพระพุทธศาสนารื้อค้นลงไปในใจของสัตว์โลกไง แล้วในหัวใจของสัตว์โลกมันต้องมีศีล มีสมาธิมีปัญญา

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบิณฑบาตกับพราหมณ์นะ “ภิกษุภิกษุก็ทำมาหากินสิ ภิกษุมาบิณฑบาตขอเขาทำไมล่ะ”

“เราทำงานเราทั้งวัน เราทำงานเราตลอดเวลาเลย เราใช้ปัญญาของเราเป็นแอกและไถ ใช้สมาธิเป็นเชือก ใช้สติเราควบคุม เราหว่าน เราไถ เราหว่านไถในหัวใจเราเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ในใจของเราตลอดเวลาเลย”

พอเทศนาว่าการจบพราหมณ์เขาอยากจะใส่บาตรแล้ว

พราหมณ์เขาเป็นคนนอกศาสนาไง “ภิกษุภิกษุก็ทำมาหากินสิ ภิกษุมาขอเขาทำไม”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “เราทำตลอด เราทำตลอด เราทำมาจนหมดภพหมดชาติแล้ว เราทำมาสิ้นสุดกระบวนการของมันแล้ว เราทำมาตลอดไง”

เวลาพูดถึงพอเขาศรัทธาขึ้นมา เขาจะใส่บาตรองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ใส่ไม่ได้สมณะไม่ขอด้วยเสียง สมณะไม่เคยเปล่งวาจาขอใครทั้งสิ้น แต่อันนี้มันเป็นการรื้อสัตว์ขนสัตว์ เป็นการเปิดตาใจของพราหมณ์นั้น พอพราหมณ์นั้นดวงตาเปิดขึ้นมาอยากจะสร้างบุญกุศล ท่านบอกท่านรับไม่ได้ 

ถ้ารับไม่ได้แล้ว พอมันศรัทธาแล้วเป็นคนใหม่เลย ถ้ารับไม่ได้แล้วของที่เตรียมมาจะถวายพระพุทธเจ้าจะทำอย่างไรดีล่ะ ก็อยากถวาย

พระพุทธเจ้าบอกในโลกนี้เราพิจารณาดูแล้วไม่มีใครสูงกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิเสธแล้ว ไม่ควรถวายใครทั้งสิ้น ให้ไปเทลงน้ำ พราหมณ์นั้นไปเทลงแม่น้ำโอ้โฮ! ควันมันขึ้นโขมงเลย นี้อยู่ในธรรมบท นี่จดจารึกกันมาๆ

เวลาคนเข้าใจผิด เวลามันดื้อด้านมันก็บอกภิกษุก็ทำมาหากินสิ ภิกษุมากวนชาวบ้านทำไม 

ไอ้นี่มันเป็นอุบายไง ในพระพุทธศาสนาภิกษุ ภิกษุณีอุบาสก อุบาสิกาอุบาสก อุบาสิกาของเขา เขาทำมาหากินของเขา เขาทำบุญกุศลของเขาสมัยโบราณต้องหุงหาอาหารใช่ไหม ข้าวปากหม้อเราก็ตัก ก่อนเราทานอาหาร เราก็ตักข้าวปากหม้อใส่บาตรๆ ใส่บาตรผู้ที่ทรงศีลเขาไม่มีอาชีพของเขา นี่ไง ภิกษุภิกษุณี อุบาสกอุบาสิกา เขาก็ทำของเขา หน้าที่ของพระ เช้าขึ้นมาภิกขาจารภิกขาจารบิณฑบาตเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง 

เรามีศีลมีธรรมของเรา เราประพฤติปฏิบัติของเรา เราไม่มีอาชีพ เราไม่มีการแข่งขัน เราไม่ใช่ฆราวาส บวชเป็นพระแล้วชีวิตต่างจากคฤหัสถ์ ชีวิตต่างจากโลก จะไม่ทำสิ่งใดแข่งขันกับโลก ไม่มีสิ่งใด ถ้าทำแข่งขันกับโลกมันไม่ใช่ชีวิตของสมณะ มันเป็นชีวิตของฆราวาส มันเป็นชีวิตของโลกเขา

เราบวชแล้วมันชัดเจนมากภิกษุต่างจากคฤหัสถ์ ไม่ใช้ชีวิตแบบคฤหัสถ์ ไม่ใช้ชีวิตแบบนั้น ใช้ชีวิตแบบนักพรต นี่ไง ถ้ามันสะอาดบริสุทธิ์ สิ่งที่สะอาดบริสุทธิ์ คนที่จิตใจสูงส่งเห็นแล้วมันชื่นชมไง

แต่จิตใจของโลก จิตใจที่ดื้อด้านนะ ภิกษุทำไมไม่ทำมาหากินเองล่ะ ก็เดี๋ยวนี้ทำมาหากินกันแล้วไง ทำกันอยู่ทั่วเมืองไทยไงภิกษุทำมาหากินไงแล้วตอนนี้ภิกษุไหนที่จะเป็นภิกษุที่ภิกขาจารล่ะ ภิกษุที่ไหนล่ะ

นี่ไง มันกลับกันไง มันกลับกันด้วยมุมมองกลับกันด้วยความเห็นไง แต่เรามาทำบุญๆ ทำบุญก็เพื่อเหตุนี้ ศึกษาๆศึกษามาทำไมศึกษามาให้หัวใจมันเข้าใจ ศึกษามาให้หัวใจมันสูงส่งศึกษามาให้เรามีคุณธรรม ศึกษามาให้เข้าใจหัวใจเรานี้ หัวใจนี้ถ้ามันเข้าใจสิ่งใดแล้วข้างนอกอยู่ข้างนอก ไม่เกี่ยวกับเราแล้ว โลกธรรม๘ มันอยู่ข้างนอก

เราทำใจของเราให้สูงส่งทำใจของเราให้ดีขึ้น แล้วฝึกหัดภาวนานะ ถ้าเราภาวนานะ เราจะได้อริยทรัพย์ เราจะได้ทรัพย์สมบัติของเราจริงๆ ไงทรัพย์สมบัติทางโลกที่เจือจานกันได้ มันเรื่องปัจจัยเครื่องอาศัย ปัจจัย๔ ปัจจัย ๔ นี้เพื่อดำรงชีวิตไงเทวดาเขากินทิพย์นะ พรหมเขาผัสสาหาร ปัจจัยเพื่อดำรงชีวิตไง นี่มีปัจจัยเครื่องอาศัย

แต่ถ้ามันมีคุณธรรมในใจนะอกุปปธรรม อฐานะที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง มันเป็นสมบัติแท้ๆ ฝังอยู่ที่ใจดวงนั้น ใจดวงนั้นเป็นผู้รื้อค้นใจดวงนั้นเป็นผู้ประพฤติปฏิบัติ ถ้าใจดวงนั้นมีคุณธรรม มันจะเป็นสมบัติของใจดวงนั้น แล้วไม่ต้องให้ใครมาอุทิศส่วนกุศล 

หลวงตาท่านพูดไว้ ไม่ต้องทำให้เราทั้งสิ้นอะไรก็ไม่ต้องทำให้เราทั้งสิ้นของเราทำเสร็จแล้ว ของเราเป็นของเรา เราเอาของเราไปคนเดียว คนอื่นไม่เกี่ยว เอวัง